บทความอัพเดทล่าสุด

รู้หรือไม่? รถที่ใช้ใน Fast 7 ถ่ายหนังเสร็จแล้วไปไหน!

แหล่งรวมสาระน่ารู้ ข้อคิดดีๆ ความรู้รอบตัว บทความสอนใจ
รู้หรือไม่? รถที่ใช้ใน Fast 7 ถ่ายหนังเสร็จแล้วไปไหน!
รู้หรือไม่? รถที่ใช้ใน Fast 7 ถ่ายหนังเสร็จแล้วไปไหน!
เป็นที่ทราบกันดีว่า Fast & Furious 7 เป็นหนังแอ็คชั่นที่มีจุดขายเป็นฉากแข่งรถซิ่งไล่ล่า มีรถหลากรุ่นหลายแบรนด์เข้าฉากมากมาย ซึ่งก็เป็นอย่างที่เราเห็นในหนังว่ารถยนต์เหล่านี้รับใช้เรื่องราวอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้เหล่าครอบครัวทีมซิ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าหลังจากการถ่ายทำจบลงปลายทางของรถยนต์เหล่านี้อยู่ที่ใด

ทั้งหมดใช้ในฉากขายในหนังเช่น ฉากดิ่งพสุธาในโคโลราโด ฉากอาบู ดาบี หรือแม้แต่ฉากในนิวยอร์ก ซึ่งรถยนต์ที่ใช้ในการถ่ายทำฉากเหล่านี้ ทางทีมงานของFast & Furious 7 ต้องหาวิธีจัดการให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครนำรถยนต์เหล่านี้มาใช้อีก เพราะอาจนำมาซึ่งอุบัติเหตุไม่คาดฝัน

ริชาร์ด แจนเซ่น เจ้าของสุสานรถได้รับสายจากทีมงานในภาพยนตร์ Fast & Furious 7 ที่ถามว่า เขาจะรับซื้อรถที่ใช้ในการถ่ายทำในหนังและเอาไปทำลายให้ได้ไหม? แน่นอนว่า ริชาร์ด ไม่ปฏิเสธ “มันเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ กับการเห็นรถเบนซ์รุ่นล่าสุดถูกทำลายไม่มีชิ้นดี” โดยใน Fast & Furious 7 มีรถยนต์ที่ถูกทำลายทิ้งไปทั้งหมด 230 คัน ซึ่งเขาต้องทำลายรถยนต์ที่ใช้ในการถ่ายทำต่อวันจำนวน 25 คันต่อวัน

2015 Lykan HyperSport รถสปอร์ตตัวท็อปที่บินทะลุ 3 ตึก!!
2015 Lykan HyperSport รถสปอร์ตตัวท็อปที่บินทะลุ 3 ตึก!!
รายนามรถยนต์ที่ใช้ใน Fast & Furious 7 ที่ถูกทำลายก็อย่างเช่น 1970 Doge Charger R/T, 1967 Chevrolet Camaro, Aston Martin DB9, 2010 Ferrari 458 Italia, Dodge Viper SRT-10, Hyundai Elantra, Jeep Wrangler Unlimited, 2008 Audi R8, 1969 Ford Torino Talladega ‘GPT Special, 2015 Lykan HyperSport เป็นต้น แหม่! ใครเป็นคนรักรถคงร้องไห้หนักมากแน่ๆ T^T

รถที่ใช้ในการถ่ายทำ Fast & Furious 7 เดนนิส แม็คคาร์ธีย์ ผู้ประสานงานฝ่ายรถของหนัง Fast & Furious 7 ได้ให้ข้อมูลว่า รถแต่ละคันจะถูกดัดแปลงสำหรับงานที่เฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นการดริฟท์ การเร่งความเร็วจากฟุตบาธไปสู่การวิ่งตามถนนลูกรังที่ขรุขระ หรือแม้กระทั่งการเหินเวหาก่อนจะกางร่มชูชีพลงมาสู่พื้นดิน เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไปได้ ทีมผู้สร้างเลือกที่จะถ่ายทำฉากนั้นจริงๆ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบรถยนต์ที่ที่ใช้ให้มีความบึกบึนขึ้น เพื่อตอบสนองต่อเรื่องและเพื่อให้เหล่าสตันท์ที่ขับถ่ายทำได้รับความปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้ยังมีการสร้างรถและโครงรถสำรองเอาไว้เพื่อรองรับการถ่ายทำของหลายๆ ยูนิทอีกด้วย (นั่นคือเหตุผลที่มีรถยนต์ถูกทำลายมากถึง 230 คัน)

Aston Martin DB9 รถของเดการ์ด ชอว์ ตัวร้ายของเรื่องที่ เจสัน สแตแธ่ม รับบท
Aston Martin DB9 รถของเดการ์ด ชอว์ ตัวร้ายของเรื่องที่ เจสัน สแตแธ่ม รับบท
ทุกครั้งที่กองถ่ายทำ Fast & Furious 7 ยกพลไปถ่ายทำยังสถานที่ใด จะให้ทีมงานติดต่อกับสุสานรถในท้องที่นั้นๆ ไว้เพื่อให้เขาเข้ามารับซื้อรถและนำทำลายในทุกวันที่มีการถ่ายทำ เดนนิสกล่าวว่า “เรามีบัญชีของรถยนต์ทุกคันที่ถูกทำลายในหนังเรื่องนี้” เขาและทีมงานได้จัดทำบัญชีรถยนต์ที่ใช้ในการถ่ายทำหนังไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้ทราบถึงปลายทางของรถยนต์แต่ละคันว่าถูกทำลายแน่นอน เพื่อให้มั่นใจว่ารถยนต์ที่เสียหายในการถ่ายทำจะถูกทำลายจะไม่มีใครนำไปซ่อมเพื่อใช้งานต่อหรือปล่อยขายในตลาดอย่างแน่นอน

ในอดีตปลายทางของรถยนต์ที่ใช้ในภาพยนตร์ หากมาจากภาพยนตร์เรื่องดังและสภาพยังพอซ่อมแซมได้ ค่ายหนังก็จะเก็บรักษาไว้เพื่อใช้ไว้พิพิธภัณฑ์หรือใช้จัดแสดงในนิทรรศการเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นๆ หรือไม่ก็ตกอยู่ในมือของนักสะสมหรือแฟนหนังผู้มั่งคั่ง ที่พร้อมทุ่มทุนมหาศาลเพื่อแลกกับรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากการถ่ายทำ (บางคันแทบจะไม่เหลือสภาพของรถแล้ว)

1970 DODGE CHARGER R/T ที่พี่ดอมเอาไปชนเสียป่นปี้
1970 DODGE CHARGER R/T ที่พี่ดอมเอาไปชนเสียป่นปี้
แต่ดูเหมือนว่ามีบางส่วนที่นำรถยนต์เหล่านี้มาใช้ในการขับขี่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งผู้ขับขี่และผู้ร่วมทางได้ จึงทำให้แต่ละสตูดิโอของฮอลลีวู้ดต้องเปลี่ยนวิธีการจัดการเสียใหม่ ซึ่งมองแล้วก็เป็นวิธีการจัดการที่ดีและลบปัญหาต่างๆ ที่อาจตามมาได้ในอนาคต

แต่ทั้งนี้หากเป็นคนที่รักรถยนต์แล้วละก็คงร้องไห้หนักมากจริงๆ ที่ต้องเห็นรถยนต์ราคาหลายสิบล้านบาท แถมบางรุ่นเป็นแบบลิมิเตดอีกด้วย ต้องแปรสภาพเป็นเศษเหล็กไร้ราคา…

รู้หรือไม่? รถที่ใช้ใน Fast 7 ถ่ายหนังเสร็จแล้วไปไหน!

รู้หรือไม่? รถที่ใช้ใน Fast 7 ถ่ายหนังเสร็จแล้วไปไหน!

read more

โรคกรดไหลย้อน คืออะไร อาการเป็นอย่างไร รักษาอย่างไร

แหล่งรวมสาระน่ารู้ ข้อคิดดีๆ ความรู้รอบตัว บทความสอนใจ
โรคกรดไหลย้อน คืออะไร อาการเป็นอย่างไร รักษาอย่างไร
โรคกรดไหลย้อน คืออะไร อาการเป็นอย่างไร รักษาอย่างไร 
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease)
หลายท่านคงมัวแต่วุ่นวายอยู่แต่กับการทำงาน หรือการเรียนมากจนเกินไป จนไม่มีเวลามาดูแลเรื่องอาหารการกินเท่าที่ควร ทำให้การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณอก และรู้สึกเปรี้ยวขมในปาก หากใครเคยมีอาการเช่นนี้ แสดงว่าคุณอาจกำลังเป็น “โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease)” ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารกลับไปที่หลอดอาหาร  ถึงแม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นโรค วันนี้เราจะมาบอกวิธีการปฏิบัติตัว แนวทางการรักษา และเทคนิคต่าง ๆ ที่จะช่วยให้คุณมีอาการดีขึ้น

อาการของโรคกรดไหลย้อน
อาการสำคัญที่พบบ่อยในโรคกรดไหลย้อนได้แก่
• รู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณลิ้นปี่ กลางหน้าอก ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหาร
• รู้สึกเปรี้ยวหรือขมในปากและคอ
• มีอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง

อาการอื่นๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง
• อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ
• เสียงแหบเรื้อรัง เสียงเปลี่ยนไป
• ไอเรื้อรังโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
• กลืนอาหารหรือน้ำลายติดขัดเหมือนมีก้อนจุกในลำคอ
• โรคหืดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา ด้วยยาตามปกติ
ยิ่งไปกว่านั้นโรคกรดไหลย้อนยังอาจทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบเป็นแผลรุนแรงจนตีบ หรือเกิดเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้

กระเพาะอาหาร
ระบบทางเดินอาหารส่วนต้นมีจุดเริ่มต้นที่ปาก เมื่อเราตักอาหารใส่ปากเคี้ยวและกลืน อาหารจะผ่านหลอดอาหารลงมาสู่ส่วนปลายของหลอดอาหารที่มีลักษณะเป็นหูรูด ที่เรียกว่า “หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower esophageal sphincter)” ผ่านลงสู่กระเพาะอาหารซึ่งมีน้ำย่อยที่เป็นกรดย่อยอาหารให้มีขนาดเล็กลง และส่งผ่านไปยังลำไส้เล็กเพื่อย่อยต่อไป

หูรูดหลอดอาหาร
หูรูดหลอดอาหารที่แข็งแรง เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับ ในภาวะปกตินั้น หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างนี้จะเปิดเฉพาะเมื่อมีการกลืนอาหาร เพื่อให้อาหารผ่านอย่างสะดวก และบีบรัดตัวปิดทันทีเพื่อไม่ให้อาหารที่กลืนลงไปแล้ว และกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปอีก

จะเกิดอะไรขึ้นหากหูรูดหลอดอาหารอ่อนแอ?
หูรูดหลอดอาหารอาจเกิดการหย่อนตัวหรือเปิดบ่อยกว่าปกติได้จากสาเหตุต่างๆ ได้แก่ การรับประทานอาหารรสจัด  แรงกดต่อกระเพาะอาหารที่มากเกินไป การสูบบุหรี่ ซึ่งส่งผลให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปทำอันตรายต่อเยื่อบุหลอดอาหารที่มีความอ่อนบาง และไม่มีกลไกป้องกันกรดเหมือนกับเยื่อบุกระเพาะอาหาร

การปรับการดำเนินชีวิตเพื่อบรรเทาอาการ
อาการของโรคกรดไหลย้อนสามารถบรรเทาให้เบาบางลงได้ การปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันเพียงบางอย่าง เช่น อาหารที่คุณรับประทานให้ลดความจัดจ้านลง กินอาหารให้ตรงเวลา หรือแม้แต่ขนาดของเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่

การรับประทานอาหาร
- คุณอาจไม่ทราบมาก่อนว่าเครื่องดื่มถ้วยโปรดของคุณ เช่น กาแฟ อาจเป็นตัวการของโรคกรดไหลย้อน ดังนั้น อาหารที่คุณพึงหลีกเลี่ยง ได้แก่
• ชา กาแฟ และน้ำอัดลมทุกชนิด
• อาหารทอด อาหารไขมันสูง
• อาหารรสจัด รสเผ็ด
• ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
• หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
• ช็อกโกแลต

รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ
การรับประทานอาหารอิ่มเกินไปจะทำให้หูรูดหลอดอาหารเปิดออกง่ายขึ้น ดังนั้นควรรับประทานอาหารครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง เช่น หากปกติทานอาหาร 3 มื้อ ก็อาจจะแบ่งการรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ 5มื้อแทน

ไม่ควรเข้านอน หรือเอนกายหลังรับประทานอาหา
หลังรับประทานอาหารไม่ควรเข้านอนหรือเอนกายทันที ควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อให้อาหารเคลื่อนตัวออกจากกระเพาะอาหารก่อน

งดบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่จะเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร และทำให้หูรูดกระเพาะอาหารอ่อนแอ ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้หูรูดเปิดออกได้ ลองหลีกเลี่ยงหรือเลิกสิ่งเหล่านี้แล้วคุณจะสังเกตถึงอาการที่ดีขึ้น

การปรับการดำเนินชีวิตเพื่อบรรเทาอาการ

  • ยกศีรษะและลำตัวให้สูง
กรดไหลย้อนมักเกิดขณะคุณนอนราบ ดังนั้นการนอนโดยเสริมด้านหัวเตียงให้ยกสูงขึ้น จะช่วยป้องกันการไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหารได้ ไม่ควรใช้วิธีการหนุนหมอนหลายใบ

  • ลดแรงกดต่อกระเพาะอาหาร
เสื้อผ้าและเข็มขัดที่รัดแน่นบริเวณผนังหน้าท้อง การก้มตัวไปด้านหน้า น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ล้วนเป็นสาเหตุที่เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหาร และทำให้กรดไหลย้อนกลับ คุณจึงควรหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าหรือเข็มขัดที่รัดแน่น การก้มตัว และถ้าคุณมีปัญหาน้ำหนักเกินควรลดให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

  • ผ่อนคลายความเครียด
ซึ่งความเครียดจะเป็นสาเหตุให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ดังนั้นจึงควรหาเวลาพักผ่อน และออกกำลังกายให้สมดุลกับตารางชีวิตของคุณ

  • การตั้งครรภ์
ผู้หญิงตั้งครรภ์มักเป็นโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ทำให้หูรูดหลอดอาหารอ่อนแอลงรวมถึงมดลูกที่ขยายตัว จะไปเพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหาร ซึ่งหากคุณมีอาการขณะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์

  • วิธีการรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยยาเป็นวิธีการหนึ่งในการรักษาโรคกรดไหลย้อนในผู้ป่วยส่วนใหญ่อย่างได้ผล การรักษาด้วยยามีเป้าหมายต่างกันไปตามชนิดของยาและอาการ ยาที่ใช้รักษาโรคกรดไหลย้อน สามารถแบ่งตามกลุ่มการออกฤทธิ์ได้ดังนี้
• ยาลดกรด (Antacid) ลดความเป็นกรดของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ใช้ในผู้ที่มีอาการเล็กน้อย หรือเป็นเพียงครั้งคราว เช่น Aluminium  hydroxide , magnesium hydroxide เป็นต้น
• ยากลุ่มกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร (Prokinetics) เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารทำให้อาหารเคลื่อนออกจากกระเพาะอาหารเร็วขึ้น เช่น Metoclopamide , Domperidone เป็นต้น
• ยากลุ่ม H2 Receptor Antagonists  ออกฤทธิ์ยับยั้งฮีสตามีน(Histamine)ไม่ให้จับตัวกับตัวรับในกระเพาะอาหารทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดลดลง เช่นCimetidine,Famotidine,Ranitidine เป็นต้น
• ยากลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม(Proton Pump Inhibitors:PPI) ยับยั้งโปรตอนปั๊มที่อยู่ในกระเพาะอาหารซึ่งเป็นกลไกขั้นสุดท้ายในการหลั่งกรด จึงสามารถลดการหลั่งกรดได้สมบูรณ์ เช่น Omperazole,Esomeprazole,Pantoprazole เป็นต้น
ในปัจจุบันยากลุ่มยับยั้ง Proton Pump เป็นยาที่ให้ผลการรักษาได้ดีที่สุด มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดการหลั่งกรด และได้ผลเร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ คุณอาจต้องรับประทานยานี้ติดต่อกันนาน 6-8 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น ขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์ และเมื่อคุณสามารถปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตได้ แพทย์อาจปรับลดขนาดยาลงทีละน้อย

เมื่อไหร่จึงต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ในรายที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อนรุนแรงจนใช้ยาเต็มที่แล้วไม่ได้ผล หรือมีข้อห้ามในการกินยา รวมทั้งไม่ต้องการรับประทานยาตลอดเวลา หรือเป็นซ้ำบ่อยหลังหยุดยา ซึ่งพบได้ร้อยละ 10 ของผู้ป่วย แพทย์อาจพิจารณาใช้การผ่าตัดเป็นทางเลือกในการรักษา

รับประทานยาอย่างไรให้ได้ผลดี
การรับประทานยาอย่างถูกต้อง และครบถ้วนตามคำแนะนำของแพทย์มีความสำคัญอย่างมากต่อการรักษาโรคกรดไหลย้อนให้หาย เมี่อคุณเริ่มรับประทานยาไปได้ระยะหนึ่ง อาการต่างๆ จะดีขึ้น แต่อย่าหยุดยาเองต้องรับประทานจนครบตามแพทย์สั่ง เพราะอาการอาจกลับมาเป็นซ้ำอีกได้หลังจากคุณหยุดยาเอง ก่อนรับประทานยาอื่นๆ โดยเฉพาะยารักษาอาการอักเสบ ปวดข้อ และแอสไพริน คุณต้องตรวจสอบกับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เนื่องจากยาเหล่านี้มักระคายเคืองเยื่อบุทางเดินอาหาร และอาจทำให้อาการแย่ลง

เมื่อไรต้องรีบพบแพทย์
ถึงแม้ว่าโรคกรดไหลย้อนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการรุนแรง แต่ไม่ควรละเลยโดยไม่รักษาเพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นได้ ทั้งนี้หากพบแพทย์เพื่อรักษาแล้ว คุณยังมีอาการหล่านี้เกิดขึ้น ต้องปรึกษาแพทย์ทันที
• อาเจียนบ่อย หรือมีเลือดปน
• กลืนติด หรือกลืนลำบาก
• อุจจาระมีสีดำเข้ม หรือมีเลือดปน
• อ่อนเพลีย ซีด
• น้ำหนักลดอย่างต่อเนื่องโดยไม่สาเหตุ
• กินยาครบตามแพทย์สั่งแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง

คำถามที่พบบ่อย
Q: ถ้าเป็นโรคกรดไหลย้อนควรนอนตะแคงซ้ายจริงหรือไม่?
A: การนอนตะแคงขวาอาจทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนกำเริบขึ้นได้บ่อยกว่าการนอนตะแคงซ้าย เนื่องจากในท่านอนตะแคงขวา กระเพาะอาหารจะอยู่เหนือหลอดอาหารทำให้มีแรงกดต่อหูรูดหลอดอาหารให้เปิดออกง่ายขึ้น จนเกิดการไหลย้อนกลับของกรด จึงเป็นที่มาของคำแนะนำให้ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนนอนตะแคงซ้ายนั่นเอง
Q: โรคกรดไหลย้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
A: โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นๆ หายๆ เนื่องจากหูรูดหลอดอาหารยังคงทำงานไม่ดี ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการนานๆ ครั้ง แต่บางรายก็เป็นบ่อยมากอย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเกือบทุกรายจะมีอาการดีขึ้นได้จากการปฏิบัติตัวดังที่แนะนำไปแล้วนั้น และการมาตรวจตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ


read more

ยกตัวเองขึ้น โดยไม่ลดคนอื่นลง

แหล่งรวมสาระน่ารู้ ข้อคิดดีๆ ความรู้รอบตัว บทความสอนใจ
ยกตัวเองขึ้น โดยไม่ลดคนอื่นลง
ยกตัวเองขึ้น โดยไม่ลดคนอื่นลง
อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์ไปเดินเล่นที่ชายหาด
อาจารย์ได้เริ่มสอนลูกศิษย์ ด้วยการใช้ไม้ขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 4 ฟุต และ 2 ฟุต ตามลำดับ
อาจารย์กล่าวว่า “เธอสามารถทำให้เส้น 2 ฟุต ยาวกว่าเส้น 4 ฟุต ได้หรือเปล่า ไหนลองทำให้อาจารย์ดูซิ”
ลูกศิษย์ได้คิดหาทางซักพักหนึ่ง แล้วก็เอามือลบรอยเส้นที่ยาว 4 ฟุต ให้สั้นลงเหลือเพียง 1 ฟุต ทำให้เส้น 2 ฟุตนั้นดูยาวกว่าทันที แล้วศิษย์ก็ถามอาจารย์ว่า “ทำแบบนี้ใช้ได้ไหมครับ”
“เหยียบหัวคนอื่น เพื่อให้ตัวเองอยู่สูงขึ้น”
อาจารย์เขกกบาลลูกศิษย์เบาๆ แล้วกล่าวว่า ” คนที่จะยกตนเองให้สูงขึ้น โดยการทำร้ายคู่คนอื่นนั้น ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม ถ้าเลือกใช้วิธีนี้ ชีวิตเธอก็มีแต่คนสาปแช่ง และในระยะยาวชีวิตมักจะล้มเหลว ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง ”
แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้นสองเส้นให้ยาวเช่นเดิม คือ 2 ฟุต และ 4 ฟุต จากนั้นอาจารย์ก็ทำให้ดูด้วยการขีดเส้น 2 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 5 ฟุต แล้วพูดว่า “จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเจ้าคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเจ้า” ที่เธอจะต้องพัฒนาตัวเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า มันจะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามและยั่งยืน
ผู้ที่เลื่อนตัวเองขึ้น โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยปล่อยให้ผู้อื่นได้ก้าวไปทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมส่งผลลัพธ์ที่ต่างกัน
หากไร้คู่แข่งแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวเองมีศักยภาพในการทำงานแค่ไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม
นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เก่ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ จะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนและไม่ภาคภูมิใจ ดังนั้น…เมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งกระตุ้นให้เรารู้จักพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น
การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เจ้าอาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูตามมาด้วย
แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธอจะเป็นผู้ชนะ พร้อมกับยังมีเพื่อนเพิ่มขึ้น และหนึ่งในนั้นอาจเคยเป็นคู่แข่งของเธอเองด้วย

read more

สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ

แหล่งรวมสาระน่ารู้ ข้อคิดดีๆ ความรู้รอบตัว บทความสอนใจ
สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ
สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ
มีคน 2 คนเป็นเพื่อนรักกันมาก ร่วมเดินทางไปในทะเลทราย… ระหว่างทาง เกิดมีปากเสียงกันรุนแรงทะเลาะกัน เพื่อนคนหนึ่งระงับอารมณ์ไม่อยู่…ตบหน้าอีกฝ่าย เพื่อนที่ถูกทำร้าย….เจ็บปวด…แต่ไม่เอ่ยวาจา… กลับเขียนข้อความลงบนผืนทรายว่า “วันนี้…ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า”
พวกเขายังคงเดินทางต่อไป…จนกระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาก็อาบน้ำ….เพื่อนคนที่เคยถูกตบหน้า ได้พลัดตกแหล่งน้ำ จมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รอช้า รีบลงไปช่วยทันที คนรอดตาย…ยังคงไม่เอ่ยวาจา…กลับสลักข้อความลงไปบนก้อนหินใหญ่…“วันนี้…เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้”
อีกคนไม่เข้าใจ…เลยถามว่า “เมื่อเธอถูกฉันตบหน้า เธอเขียนเรื่องราวลงพื้นทราย แล้วเรื่องที่ฉันได้ช่วยเธอจากการจมน้ำ ทำไมจึงต้องสลักบนก้อนหิน”
อีกคนยิ้มพราย…กล่าวตอบ
เมื่อถูกคนที่รักทำร้าย…เราควรเขียนมันไว้บนพื้นทราย ซึ่ง “สายลมแห่งการให้อภัย” จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ”
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมายเกิดขึ้น เราควรสลักไว้บน “ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ” ซึ่งต่อให้มีสายลมพัดแรงเพียงใด ก็ไม่อาจ ลบล้าง ทำลาย

read more

ลุงดราม่าหนัก เบิกเงินธนาคาร พนง.ให้ไปกด ATM

แหล่งรวมสาระน่ารู้ ข้อคิดดีๆ ความรู้รอบตัว บทความสอนใจ
ลุงดราม่าหนัก เบิกเงินธนาคาร พนง.ให้ไปกด ATM
ลุงดราม่าหนัก เบิกเงินธนาคาร พนง.ให้ไปกด ATM
มีตาลุงแต่งตัวธรรมดา งกๆเงิ่นๆ มาที่เค๊าเตอร์ธนาคารและขอเบิกเงิน
ตาลุง : ลุงขอเบิกเงิน 2,000 บาทหน่อยสิ
พนักงาน : ลุงคะเบิกเงินแค่นี้ ทำไมไม่ไปเบิกที่ตู้ ATM ล่ะคะ
ตาลุง : ลุงกดไม่เป็นเลยมาที่เค้าเตอร์น่ะ
พนักงาน : ที่เค้าเตอร์เค้าให้เบิกตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไปน่ะค่ะ
ตาลุง : งั้น…ลุงขอถอนเงินหมดบัญชีเลยก็แล้วกัน….แล้วก็ยื่นสมุดบัญชีให้พนักงาน
แต่เมื่อพนักงานสาวรับสมุดบัญชีไปก็ต้องตกใจ เพราะมีเงินตั้ง 10 ล้าน
พนักงาน :คุณลุงคะ…จะถอนเงินทั้งหมดวันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ คุณลุงต้องแจ้งล่วงหน้าเพราะเงินมันเยอะน่ะค่ะ
ตาลุง : งั้นลุงถอนได้มากสุดเท่าไหร่ล่ะ?
พนักงาน : ถอนได้มากสุด 2 ล้านน่ะค่ะ
ตาลุง : โอเค…งั้นถอน 2 ล้านให้หน่อยนะ
พนักงานทั้งสาขาก็รีบมาอำนวยความสะดวก พาไปนั่งโซฟานุ่มๆ พร้อมเสริฟชา กาแฟเต็มที่ พร้อมทั้งกล่อมให้ยังฝากเงินที่เหลืออีก 8 ล้านต่อไป
ผ่านไปซักพัก พนักงานก็นำเงิน 2 ล้านมาให้ลุง พอตาลุงได้รับเงินแล้วก็หยิบเงินไป 2,000 บาท ใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมทั้งบอกว่า
ตาลุง : ช่วยนับเงินที่เหลือ แล้วเอาเข้าบัญชีลุงเหมือนเดิมด้วยนะ….ขอบคุณ

read more